รถไฟความเร็วสูงอินโดฯฉลุย! เปิดใช้ปี 2566

791

ไปติดตามความคืบหน้า รถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุง ของอินโดนีเซียกันบ้าง ล่าสุด ประธานาธิบดีโจโก วีโดโด เผยคืบหน้าแล้ว ได้มาถึง 88.8% และจะเริ่มให้บริการในเดือนมิถุนายน 2566 เรื่องนี้น่าสนใจไปติดตามกันครับ

 

 

13 ต.ค.65 โจโก วีโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้เปิดเผยผ่านเฟซบุคส่วนตัวว่า การก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงการ์ตา-บันดุง (KCJB) คืบหน้าแล้วถึง 88.8 %

และว่า ในกระบวนการก่อสร้าง โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลชาวอินโดนีเซียและรัฐบาลจีนประสบปัญหาอุปสรรคในการก่อสร้างอุโมงค์หลายแห่ง เราได้เอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นแล้ว และหากไม่มีอะไรผิดพลาด รถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุงจะแล้วเสร็จในไม่ช้านี้ และจะเริ่มให้บริการในเดือนมิถุนายน 2566
โครงการ KCJB จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของเราแข็งแกร่งขึ้น และคาดว่าจะสร้างจุดเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่จากจาการ์ตาไปยังบันดุง

โจโก วีโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เผยโครงการรถไฟความเร็วสูงการ์ตา-บันดุง (KCJB) คืบหน้าแล้วถึง 88.8 %/image source Presiden Joko Widodo 

 

สำหรับ โครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุง โครงการรถไฟร่วมระหว่างอินโดนีเซียกับจีน โดยอินโดนีเซียถือหุ้นข้างมากคือ 60 % และกู้เงินจากสถาบันการเงินของจีน โดยที่รัฐบาลอินโดนีเซียไม่ต้องค้ำประกัน และมี บริษัท China Railway Group Limited (CREC) ของจีน เป็นผู้ก่อสร้างโครงการ

โครงการนี้เป็นโครงการสำคัญที่ริเริ่มภายใต้แผน ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ (Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน

รถไฟความเร็วสูงสายนี้เชื่อมจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซียกับเมืองบันดุง เมืองใหญ่อันดับสี่ของอินโดนีเซีย ด้วยความเร็ว 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความยาว 142 กิโลเมตร มูลค่าการก่อสร้างประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 288,000 ล้านบาท เมื่อสร้างแล้วเสร็จระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางระหว่างจาการ์ตาถึงเมืองบันดุงจะลดลงจากกว่า 3 ชั่วโมงเหลือเพียง 40 นาทีเท่านั้น
ล่าสุด รถไฟความเร็วสูงที่ออกแบบและผลิตในประเทศจีนถูกส่งมาถึงอินโดนีเซียแล้ว 21 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมีรถไฟโดยสาร 1 ขบวนและรถไฟตรวจสอบ 1 ขบวน แต่ละขบวนมี 8 ตู้ และขณะที่รถไฟอีก 10 ขบวนจะถูกส่งมายังอินโดนีเซียในต้นปี 2566 การก่อสร้างโครงการรถไฟนี้ เริ่มขึ้นในเดือนมกราคม ปี 2559

ครับโครงการรถไฟความเร็วสูง มีความสำคัญในยุคปัจจุบัน นอกจากช่วยสร้างความสะดวกสบาย ก็ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ด้วย ดังนั้นจึงช้าไม่ได้ เพราะยุคนี้ใครเร็วกว่าก็จะมีโอกาสมากกว่า ส่วนคนช้ากว่าก็มีสิทธิตกขบวน ครับ